Credit Scoring คืออะไร ทำไมคะแนนนี้ถึงชี้ชะตาฝันมีบ้านของคุณ

Credit Scoring คืออะไร ทำไมคะแนนนี้ถึงชี้ชะตาฝันมีบ้านของคุณ

เมื่อเรากำลังจะไปยื่นขอสินเชื่อบ้าน เงินก้อนใหญ่ที่อาจจะเปลี่ยนชีวิตเราไปเลย แต่ก่อนที่ธนาคารจะยอมปล่อยกู้ให้ เขาจะหยิบ “สมุดพก” ทางการเงินของเรามาดู แล้วสมุดพกนี้ก็คือ คะแนนเครดิต หรือ Credit Scoring นั่นเอง คะแนนตัวนี้เหมือนเป็นตัวเลขวิเศษที่บอกว่าคุณน่าเชื่อถือแค่ไหนในสายตาของธนาคาร และมันอาจเป็นตัวตัดสินเลยว่าคุณจะได้บ้านในฝันหรือต้องรอกันต่อไป

Credit Scoring (คะแนนเครดิต) คืออะไร

พูดง่าย ๆ คะแนนเครดิต ก็เหมือนเกรดที่วัดความน่าเชื่อถือทางการเงินของคุณ เป็นตัวเลขที่คำนวณจากพฤติกรรมการเงินในอดีต เพื่อคาดการณ์ว่าคุณจะเป็นคนที่ชำระหนี้ตรงเวลาในอนาคตได้ดีแค่ไหน ตัวเลขนี้ไม่ได้โผล่มาแบบลอย ๆ นะ แต่ถูกคำนวณโดย บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือที่เราเรียกกันว่า เครดิตบูโร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เก็บข้อมูลประวัติการเงินของคุณจากทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร บริษัทบัตรเครดิต หรือบริษัทสินเชื่อต่าง ๆ

คะแนนเครดิตมักจะอยู่ในช่วง 300-900 (บางระบบอาจจะต่างกันเล็กน้อย) โดยคะแนนสูง ๆ เช่น 750-900 แปลว่าคุณคือยอดนักบริหารการเงิน ส่วนถ้าคะแนนต่ำ เช่น 300-615 นี่อาจจะต้องระวังหน่อย เพราะธนาคารอาจมองว่าคุณมีความเสี่ยงสูงที่จะค้างชำระหนี้

แล้วเขาคำนวณคะแนนจากอะไรบ้าง

การคำนวณคะแนนเครดิตเหมือนการทำอาหารที่มีส่วนผสมหลายอย่าง แต่ละอย่างก็มีน้ำหนักไม่เท่ากัน ลองมาดูส่วนผสมหลัก ๆ กัน

1. ประวัติการชำระหนี้ (Payment History)
นี่คือตัวเอกเลย ธนาคารจะดูว่าคุณชำระหนี้ตรงเวลามั้ย ครบถ้วนหรือเปล่า เช่น ค่างวดรถ บัตรเครดิต หรือสินเชื่ออื่น ๆ ถ้าเคยค้างชำระ หรือผิดนัดจ่าย แม้แต่ครั้งเดียว มันจะส่งผลร้ายต่อคะแนนทันที คิดง่าย ๆ ว่าถ้าคุณจ่ายช้าเหมือนลืมจ่ายค่าเน็ต คะแนนคุณก็จะดิ่งลงได้

2. จำนวนหนี้สินที่มี (Amounts Owed)
ธนาคารจะดูว่าคุณมีหนี้เยอะแค่ไหนเมื่อเทียบกับวงเงินที่คุณมี เช่น ถ้าคุณมีบัตรเครดิตวงเงิน 100,000 บาท แต่ใช้ไป 90,000 บาททุกเดือน แบบนี้ธนาคารอาจมองว่าคุณบริหารเงินไม่ค่อยดี เพราะใช้เงินเกือบเกลี้ยงวงเงิน แนะนำให้ใช้ไม่เกิน 30-50% ของวงเงินจะดีกว่า

3. ประเภทของสินเชื่อ (Type of Credit)
ถ้าคุณมีสินเชื่อหลากหลาย เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบ้าน แล้วจัดการได้ดี ธนาคารจะมองว่าคุณเก่งในการบริหารหนี้หลายประเภท แต่ถ้ามีแต่หนี้บัตรเครดิตอย่างเดียว อาจดูไม่หลากหลายเท่าไหร่

4. ระยะเวลาประวัติเครดิต (Length of Credit History)
ถ้าคุณมีประวัติการเงินที่นานและดี เช่น ใช้บัตรเครดิตมา 10 ปีแล้วจ่ายตรงตลอด ธนาคารจะชอบมาก เพราะมันแสดงถึงความมั่นคง แต่ถ้าคุณเพิ่งเริ่มมีบัตรเครดิตหรือสินเชื่อ คะแนนอาจจะยังไม่สูงมาก เพราะประวัติยังสั้น

5. การขอสินเชื่อใหม่ (New Credit)
ถ้าคุณยื่นขอสินเชื่อหรือบัตรเครดิตหลายที่ในเวลาใกล้ ๆ กัน ธนาคารอาจมองว่าคุณกำลังเดือดร้อนเรื่องเงิน ซึ่งจะทำให้คะแนนลดลงได้ ดังนั้นอย่ารัวยื่นกู้หลายที่ในเวลาเดียวกันนะ

ทำไมคะแนนนี้ถึงชี้ชะตาฝันมีบ้านของคุณ

ตอนนี้เรารู้แล้วว่า Credit Scoring คืออะไร ทีนี้มาดูกันว่า ทำไมคะแนนตัวนี้ถึงกลายเป็นตัวชี้ชะตาว่าคุณจะได้บ้านในฝันหรือไม่ การซื้อบ้านส่วนใหญ่ต้องพึ่ง สินเชื่อบ้าน ซึ่งเป็นเงินกู้ก้อนโตที่มีระยะเวลาผ่อนยาวนาน 20-30 ปี ธนาคารเลยต้องมั่นใจสุด ๆ ว่าคุณจะไม่ทิ้งหนี้ก้อนนี้ให้เขาปวดหัว และคะแนนเครดิตคือเครื่องมือที่ช่วยให้ธนาคารตัดสินใจง่ายขึ้น

ถ้าคะแนนเครดิตสูง (ดี) คุณจะได้อะไร

ถ้าคุณมีคะแนนเครดิตสูง (สมมติ 750 ขึ้นไป) คุณจะเหมือนเป็นลูกค้าคนโปรดของธนาคารเลยล่ะ นี่คือสิ่งดี ๆ ที่คุณอาจได้

• โอกาสอนุมัติสูง
ธนาคารจะมองว่าคุณเป็นคนที่มีวินัยทางการเงิน มีความเสี่ยงต่ำที่จะเบี้ยวหนี้ โอกาสที่คำขอสินเชื่อบ้านของคุณจะผ่านเลยสูงมาก

• ดอกเบี้ยถูก
คนที่มีคะแนนเครดิตดีมักได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า ซึ่งแปลว่าคุณจะจ่ายดอกเบี้ยน้อยลงในระยะยาว ลองคิดดูว่าถ้าคุณกู้ 3 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยต่างกันแค่ 1% อาจช่วยคุณประหยัดเงินได้เป็นแสนเลย

• วงเงินกู้สูง
ธนาคารอาจอนุมัติวงเงินกู้ให้สูงถึง 90-100% ของมูลค่าบ้าน ทำให้คุณไม่ต้องควักเงินดาวน์เยอะ หรือบางทีอาจกู้ได้เต็มจำนวนเลย

• เงื่อนไขดี ๆ
คุณอาจได้ระยะเวลาผ่อนที่นานขึ้น หรือค่าธรรมเนียมที่ถูกลง เพราะธนาคารมองว่าคุณเป็นลูกค้าชั้นดี

ถ้าคะแนนเครดิตต่ำ (ไม่ดี) จะเกิดอะไรขึ้น

ในทางกลับกัน ถ้าคะแนนเครดิตคุณต่ำ (เช่น ต่ำกว่า 615) ความฝันที่จะมีบ้านอาจต้องเจออุปสรรคหนักหน่อย

• โอกาสถูกปฏิเสธสูง
ธนาคารอาจมองว่าคุณมีความเสี่ยงสูงเกินไปที่จะให้กู้ หรืออาจจะชะลอการพิจารณา ทำให้คุณต้องรอนาน หรือต้องไปหาธนาคารอื่น

• ดอกเบี้ยแพง
ถ้าโชคดีได้กู้ ธนาคารอาจคิดดอกเบี้ยสูงกว่าปกติเพื่อชดเชยความเสี่ยง ซึ่งแปลว่าคุณต้องจ่ายเงินเพิ่มเยอะในระยะยาว

• วงเงินกู้น้อยลง
คุณอาจได้วงเงินกู้แค่ 70-80% ของมูลค่าบ้าน ทำให้ต้องหาเงินดาวน์ก้อนใหญ่ หรืออาจต้องมองหาบ้านที่ราคาถูกลง

• เงื่อนไขเข้มงวด
ธนาคารอาจขอให้คุณหาคนค้ำประกัน หรือวางหลักทรัพย์เพิ่มเติม เช่น ใช้ที่ดินหรือทรัพย์สินอื่น ๆ มาค้ำ ซึ่งทำให้ทุกอย่างยุ่งยากขึ้น

ทำยังไงให้คะแนนเครดิตปัง ๆ

ถ้าคุณอยากมีบ้านในฝันและอยากให้คะแนนเครดิตช่วยปูทาง มาดูเคล็ดลับที่ช่วยให้คะแนนเครดิตของคุณพุ่งขึ้นแบบชัวร์ ๆ

1. จ่ายหนี้ตรงเวลา
ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต ค่างวดรถ หรือสินเชื่ออะไรก็ตาม จ่ายให้ตรงเวลาและครบจำนวนทุกครั้ง ถ้าลืมจ่ายบ่อย ๆ ให้ตั้งแจ้งเตือนในโทรศัพท์ไว้เลย

2. อย่าใช้บัตรเครดิตเกินตัว
พยายามใช้บัตรเครดิตไม่เกิน 30-50% ของวงเงิน เช่น ถ้าวงเงิน 100,000 บาท ใช้แค่ 30,000-50,000 บาทต่อเดือน แล้วจ่ายคืนให้ครบ จะช่วยให้คะแนนดีขึ้น

3. เช็กประวัติเครดิตบ้าง
คุณสามารถขอตรวจสอบประวัติเครดิตของตัวเองได้ที่เครดิตบูโร ถ้ามีข้อผิดพลาด เช่น มีหนี้ที่ไม่ใช่ของคุณโผล่มาด้วย รีบแจ้งแก้ไขทันที

4. อย่ายื่นกู้รัว ๆ
ถ้าคุณยื่นขอสินเชื่อหรือบัตรเครดิตหลายที่ในเวลาใกล้ ๆ กัน ธนาคารอาจมองว่าคุณมีปัญหาการเงิน ดังนั้นยื่นทีละที่ และรอผลก่อนค่อยยื่นที่ใหม่

5. สร้างประวัติเครดิตตั้งแต่เนิ่น ๆ
ถ้าคุณยังไม่มีประวัติเครดิต ลองเริ่มจากบัตรเครดิตใบแรกหรือสินเชื่อเล็ก ๆ แล้วบริหารให้ดี เช่น ใช้บัตรเครดิตซื้อของเล็กน้อยแล้วจ่ายคืนตรงเวลา

ทิ้งท้าย คะแนนเครดิตคือกุญแจสู่บ้านในฝัน

คะแนนเครดิตไม่ใช่แค่ตัวเลขในกระดาษ แต่มันคือภาพสะท้อนวินัยทางการเงินของคุณ และเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ธนาคารตัดสินใจว่าจะให้คุณกู้เงินซื้อบ้านหรือไม่ ถ้าคุณมีคะแนนดี โอกาสได้บ้านในฝันพร้อมเงื่อนไขสุดปังก็อยู่แค่เอื้อม แต่ถ้าคะแนนยังไม่ดี อย่าเพิ่งท้อ เริ่มจากปรับพฤติกรรมการเงิน บริหารหนี้ให้ดี และค่อย ๆ สร้างคะแนนเครดิตให้แข็งแกร่ง วันหนึ่งประตูสู่บ้านในฝันจะเปิดกว้างรอคุณแน่นอน


นิยาย กุญแจสู่อิสรภาพ

295929292
….กุญแจสู่อิสรภาพ

ในเมืองเล็กๆ ที่มีกลิ่นอายของความฝันและความหวัง ณ มุมหนึ่งของถนนสายเก่าที่เรียงรายด้วยต้นไม้ใหญ่ นภัสวรรณ หรือที่เพื่อนๆ เรียกติดปากว่า “นุ่น” สาววัยยี่สิบเจ็ด ผู้มีรอยยิ้มสดใสและความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมในหัวใจ เธอใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในอพาร์ตเมนต์เช่าห้องเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยของตกแต่งสีสันสดใส ทุกเช้า นุ่นจะนั่งจิบกาแฟร้อนที่ระเบียง พร้อมมองออกไปยังท้องฟ้าสีครามและจินตนาการถึงบ้านหลังเล็กที่มีสวนดอกไม้หน้าบ้าน บ้านที่ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่เป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพและความมั่นคงที่เธอใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก

นุ่นทำงานเป็นพนักงานบัญชีในบริษัทขนาดกลาง เธอเป็นคนขยัน เก็บเงินเก่ง และมีวินัยในการใช้จ่าย เธอรู้ดีว่าการจะมีบ้านสักหลังไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ และที่สำคัญคือต้องพึ่งพาสินเชื่อจากธนาคาร เธอเคยได้ยินคำว่า “คะแนนเครดิต” จากพี่ที่ทำงานบ้าง แต่ไม่เคยใส่ใจมากนัก เธอคิดว่าตัวเองจ่ายบัตรเครดิตตรงเวลาเสมอ คงไม่มีอะไรต้องกังวล แต่ในใจลึกๆ เธอก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับโลกการเงินใบนี้

วันหนึ่ง ขณะที่นุ่นกำลังนั่งจัดเอกสารในออฟฟิศ เธอได้รับข้อความจากเพื่อนสนิทชื่อ “มิว” ที่เพิ่งซื้อบ้านใหม่ มิวชวนนุ่นไปเยี่ยมบ้าน พร้อมเล่าด้วยความตื่นเต้นว่าการกู้เงินซื้อบ้านไม่ยากอย่างที่คิด ถ้ามีคะแนนเครดิตดี ทุกอย่างจะราบรื่นราวกับปาฏิหาริย์ คำพูดของมิวเหมือนจุดไฟในใจนุ่น เธอตัดสินใจว่า “ถึงเวลาแล้ว” เธอจะเริ่มวางแผนซื้อบ้านอย่างจริงจัง เธอเริ่มต้นด้วยการไปที่ธนาคารเพื่อปรึกษาเรื่องสินเชื่อบ้าน

ที่ธนาคาร นุ่นได้พบกับ “พี่โจ” เจ้าหน้าที่สินเชื่อที่ดูเป็นมิตรแต่พูดจาตรงไปตรงมา พี่โจอธิบายว่านอกจากรายได้และเงินออมแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “คะแนนเครดิต” ซึ่งเหมือนคะแนนความน่าเชื่อถือที่บอกว่าคุณจะชำระหนี้ได้ดีแค่ไหน นุ่นยิ้มอย่างมั่นใจ เธอคิดว่าเธอไม่เคยค้างชำระหนี้ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่เมื่อพี่โจพิมพ์ชื่อเธอลงในระบบเพื่อตรวจสอบคะแนนเครดิต สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขามองนุ่นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเห็นใจ “นภัสวรรณ คะแนนเครดิตของคุณอยู่ที่ 580 ค่ะ ค่อนข้างต่ำเลย ถ้าจะขอสินเชื่อบ้านตอนนี้ อาจจะยากหน่อยนะ”

นุ่นรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน คะแนน 580? ต่ำ? เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองมีคะแนนเครดิต และยิ่งไม่รู้ว่ามันต่ำขนาดนี้ เธอถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่าเกิดจากอะไร พี่โจอธิบายว่า จากข้อมูลในเครดิตบูโร เธอเคยค้างชำระบัตรเครดิตเมื่อสองปีก่อนหลายครั้ง และยังมีหนี้บัตรเครดิตที่ใช้เกือบเต็มวงเงิน นอกจากนี้ เธอยังเคยยื่นขอสินเชื่อส่วนบุคคลหลายครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งทำให้ธนาคารมองว่าเธอมีความเสี่ยงสูง นุ่นนั่งนิ่ง ภาพบ้านในฝันที่เคยชัดเจนเริ่มเลือนราง เธอรู้สึกเหมือนถูกตีหน้าด้วยความจริงที่ไม่เคยคาดคิด

เมื่อกลับถึงบ้าน นุ่นนั่งมองเพดานห้องด้วยความรู้สึกท้อแท้ แต่เธอไม่ใช่คนยอมแพ้ง่ายๆ เธอตัดสินใจว่า ถ้าคะแนนเครดิตคือกุญแจสู่อิสรภาพ เธอจะต้องหาวิธีปลดล็อกมันให้ได้ เธอเริ่มศึกษาเกี่ยวกับคะแนนเครดิตอย่างจริงจัง เธอค้นพบว่ามันเหมือนสมุดพกที่บันทึกทุกความเคลื่อนไหวทางการเงินของเธอ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายบิลช้า การใช้บัตรเครดิตเกินตัว หรือการยื่นกู้บ่อยๆ ทุกอย่างล้วนมีผลต่อคะแนนนี้ เธอเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมทันที เธอตั้งใจจ่ายบัตรเครดิตให้ตรงเวลา ลดการใช้บัตรให้เหลือแค่ 30% ของวงเงิน และหลีกเลี่ยงการยื่นขอสินเชื่อใหม่ เธอยังไปที่สำนักงานเครดิตบูโรเพื่อตรวจสอบประวัติเครดิตของตัวเอง และพบว่ามีข้อผิดพลาดเล็กน้อยเกี่ยวกับหนี้เก่าที่ไม่ใช่ของเธอ เธอรีบดำเนินการแก้ไขทันที

หลายเดือนผ่านไป นุ่นใช้ชีวิตอย่างมีวินัย เธอรู้สึกเหมือนกำลังวิ่งมาราธอนที่ต้องใช้ทั้งความอดทนและความมุ่งมั่น เธอเริ่มเห็นผลลัพธ์เล็กๆ เมื่อคะแนนเครดิตของเธอค่อยๆ ขยับขึ้น ทุกครั้งที่เธอได้รับแจ้งเตือนจากธนาคารว่า “ชำระเงินสำเร็จ” เธอรู้สึกเหมือนได้ชัยชนะเล็กๆ ในใจ เธอยังคงฝันถึงบ้านหลังนั้น บ้านที่มีระเบียงไม้และสวนดอกไม้สีสันสดใส เธอบอกตัวเองว่า “อีกนิดเดียวเท่านั้น”

หนึ่งปีต่อมา นุ่นกลับไปที่ธนาคารอีกครั้ง คราวนี้เธอเตรียมตัวมาดี เธอมีเงินออมก้อนหนึ่ง เอกสารครบถ้วน และที่สำคัญคือคะแนนเครดิตที่ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 720 ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ดีมาก พี่โจยิ้มกว้างเมื่อเห็นผล “คราวนี้แหละ นภัสวรรณ คุณพร้อมแล้ว!” เขาบอกด้วยน้ำเสียงยินดี สินเชื่อบ้านของนุ่นได้รับการอนุมัติด้วยวงเงินที่สูงและอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ เธอแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เมื่อได้ยินข่าวดี เธอรู้สึกเหมือนกุญแจสู่อิสรภาพที่เคยถูกขังไว้ได้ถูกปลดล็อกในที่สุด

นุ่นย้ายเข้าบ้านใหม่ของเธอในวันที่มีแสงแดดสาดส่อง เธอยืนอยู่ที่ระเบียง มองออกไปยังสวนดอกไม้ที่เธอเริ่มปลูกด้วยมือของตัวเอง ความรู้สึกของความสำเร็จและความมั่นคงเติมเต็มหัวใจของเธอ เธอคิดว่าทุกความพยายาม ทุกครั้งที่เธอต้องอดทนกับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง มันคุ้มค่าทั้งหมด เธอรู้สึกเหมือนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ในบ้านที่เป็นของเธอจริงๆ

แต่แล้ว ในคืนหนึ่ง ขณะที่นุ่นกำลังจัดของในห้องนั่งเล่น เธอพบกล่องเก่าๆ ที่ถูกซ่อนอยู่ในตู้เก็บของที่มากับบ้าน ภายในกล่องนั้นมีสมุดบันทึกเล่มเล็กที่เต็มไปด้วยลายมือที่ไม่คุ้นเคย เธอเปิดอ่านด้วยความสงสัย และสิ่งที่เธอพบทำให้หัวใจของเธอเต้นแรง คำแรกที่เขียนไว้ในหน้าปกคือ “บันทึกของเจ้าของบ้านคนก่อน” และเมื่อเธออ่านต่อ เธอพบว่าเจ้าของบ้านคนก่อนเคยอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเธอ เคยมีคะแนนเครดิตต่ำ และต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้บ้านหลังนี้มา แต่สิ่งที่ทำให้นุ่นช็อกคือประโยคสุดท้ายในสมุดบันทึก: “ถ้าคุณกำลังอ่านสิ่งนี้ แปลว่าคุณคือคนที่ได้รับเลือกให้สานต่อความลับของบ้านหลังนี้ บ้านนี้ไม่ได้เป็นแค่บ้าน แต่มันคือกุญแจสู่โอกาสที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น”

นุ่นสับสน เธอมองไปรอบๆ ห้องด้วยความรู้สึกแปลกๆ ความลับอะไร? โอกาสอะไร? เธอเริ่มรู้สึกว่าบ้านที่เธอทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ได้มานั้นอาจไม่ได้เป็นแค่ที่อยู่อาศัยธรรมดา เธอปิดสมุดบันทึกด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย และในคืนนั้น เธอได้ยินเสียงฝีเท้าดังเบาๆ จากชั้นบนของบ้าน แม้ว่าเธอจะรู้ดีว่าเธออาศัยอยู่คนเดียว…

จากบ้านที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพ ตอนนี้มันกลายเป็นปริศนาที่รอให้เธอค้นหาคำตอบ และนุ่นรู้ว่า การเดินทางของเธอยังไม่จบลงเพียงแค่การได้บ้าน แต่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น