กู้บ้าน vs เช่าบ้าน แบบไหนคุ้มกว่ากันในยุคเงินเฟ้อพุ่ง

กู้บ้าน vs เช่าบ้าน แบบไหนคุ้มกว่ากันในยุคเงินเฟ้อพุ่ง

ในยุคที่เงินเฟ้อพุ่งกระฉูดและดอกเบี้ยขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ การตัดสินใจว่าจะ กู้ซื้อบ้าน หรือ เช่าบ้าน กลายเป็นเรื่องที่ต้องคิดแล้วคิดอีก ไม่ใช่แค่เรื่องของเงินในกระเป๋า แต่ยังเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ ความมั่นคง และเป้าหมายชีวิตของเราเลยล่ะ บทความนี้จะพาไปเจาะลึกทั้งสองทางเลือก ให้คุณเอาไปชั่งน้ำหนักตัดสินใจได้แบบไม่มึนหัว

เงินเฟ้อและดอกเบี้ยกระทบอสังหาฯ ยังไง

ก่อนจะไปเปรียบเทียบว่าซื้อหรือเช่าดีกว่า มาดูกันก่อนว่า ภาวะเงินเฟ้อ และ อัตราดอกเบี้ย ส่งผลต่อวงการบ้านและที่อยู่อาศัยยังไงบ้าง

1. ราคาบ้านและที่ดินพุ่งตามเงินเฟ้อ
ในช่วงที่เงินเฟ้อสูง ทุกอย่างแพงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าก่อสร้าง ค่าวัสดุ หรือค่าแรงคนงาน ส่งผลให้ราคาบ้านและที่ดินขยับขึ้นตามไปด้วย ข้อดีคือถ้าคุณซื้อบ้านตอนนี้ มูลค่าบ้านในอนาคตมีโอกาสสูงขึ้นตามเงินเฟ้อ ทำให้อสังหาฯ ถูกมองว่าเป็น สินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ ที่ดี เพราะมันช่วยรักษามูลค่าเงินของคุณไว้ ไม่ให้ถูกลดทอนด้วยค่าครองชีพที่แพงขึ้น

2. ดอกเบี้ยเงินกู้พุ่งสูง
เพื่อสู้กับเงินเฟ้อ ธนาคารกลาง (อย่างธนาคารแห่งประเทศไทย) มักจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านแพงขึ้นตามไปด้วย ผลกระทบ? คุณต้องจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้น ภาระผ่อนต่อเดือนหนักกว่าเดิม และบางคนอาจกู้ได้วงเงินน้อยลง เพราะธนาคารคำนวณความสามารถในการผ่อนจากรายได้และภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

3. ค่าเช่าก็ไม่ยอมอยู่นิ่ง
ฝั่งคนเช่าบ้านก็ไม่รอดจากเงินเฟ้อเหมือนกัน ค่าเช่ามักปรับขึ้นตามต้นทุนของเจ้าของบ้าน (เช่น ค่าสาธารณูปโภค ค่าบำรุงรักษา) โดยเฉพาะตอนต่อสัญญาเช่าใหม่ เจ้าของบ้านอาจขอขึ้นค่าเช่า 5-10% หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับทำเลและสภาพตลาด

ซื้อบ้าน vs เช่าบ้าน ข้อดี-ข้อเสียในยุคเงินเฟ้อ

1. การกู้ซื้อบ้าน (เป็นเจ้าของ)

ข้อดี: ทำไมซื้อบ้านถึงน่าสนใจในยุคเงินเฟ้อ?

ป้องกันเงินเฟ้อได้ดี
อย่างที่บอกไป อสังหาฯ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อ ถ้าคุณซื้อบ้านวันนี้ 10 ปีข้างหน้า บ้านอาจมีมูลค่าสูงขึ้นมาก (โดยเฉพาะในทำเลทอง) ช่วยรักษาความมั่งคั่งของเงินคุณไว้ได้

สร้างความมั่งคั่งในระยะยาว
เมื่อผ่อนบ้านครบ คุณจะได้เป็นเจ้าของบ้าน 100% บ้านกลายเป็นทรัพย์สินที่สามารถใช้เป็นหลักประกันกู้เงิน หรือขายเพื่อทำกำไรในอนาคตได้

ลดหย่อนภาษีได้
ในประเทศไทย ดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยสามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ (สูงสุด 100,000 บาทต่อปี ตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร) ช่วยประหยัดเงินได้บ้าง

ความมั่นคงและอิสระ
การมีบ้านเป็นของตัวเองคือความสบายใจ ไม่ต้องกังวลว่าเจ้าของบ้านจะขอคืนพื้นที่ หรือขึ้นค่าเช่า คุณยังสามารถตกแต่ง ปรับปรุงบ้านได้ตามใจชอบ

ข้อเสีย: ภาระหนักในยุคดอกเบี้ยสูง

ดอกเบี้ยแพง ผ่อนหนัก
ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ค่างวดบ้านอาจสูงจนน่าตกใจ เช่น บ้านราคา 3 ล้านบาท ถ้ากู้ 2.7 ล้าน (ดาวน์ 10%) ดอกเบี้ย 4-5% ต่อปี ผ่อน 30 ปี คุณอาจต้องจ่ายค่างวดเดือนละ 15,000-20,000 บาท และดอกเบี้ยรวมทั้งสัญญาอาจสูงถึง 3-4 ล้านบาท

หนี้ระยะยาว = ความเสี่ยง
การกู้ซื้อบ้านคือการผูกพันกับหนี้ยาวนาน 10-30 ปี ถ้ารายได้ไม่มั่นคง หรือเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน (เช่น ตกงาน) อาจเสี่ยงขาดส่งและถูกยึดบ้านได้

ค่าใช้จ่ายแฝงเพียบ
นอกจากค่างวด คุณต้องจ่ายค่าซ่อมบำรุง ค่าส่วนกลาง ค่าประกันบ้าน และภาษีที่ดิน ซึ่งทุกอย่างนี้ก็แพงขึ้นตามเงินเฟ้อ

สภาพคล่องต่ำ
ถ้าต้องย้ายที่อยู่หรืออยากเปลี่ยนบ้าน การขายบ้านอาจใช้เวลานาน และมีค่าใช้จ่าย เช่น ค่าโอน ภาษี หรือค่านายหน้า ทำให้ไม่คล่องตัวเท่าการเช่า

2. การเช่าบ้าน (ไม่เป็นเจ้าของ)

ข้อดี: ทำไมเช่าบ้านถึงเหมาะในยุคนี้?

ความยืดหยุ่นสูงสุด
การเช่าบ้านเหมาะกับคนที่ต้องย้ายที่อยู่บ่อยๆ เช่น ทำงานข้ามเมือง หรือยังไม่แน่ใจว่าจะปักหลักที่ไหน คุณสามารถยกเลิกสัญญาเช่า (ตามเงื่อนไข) และย้ายไปที่ใหม่ได้ง่ายๆ ไม่ต้องผูกมัดยาว

ค่าใช้จ่ายคงที่และควบคุมได้
ค่าเช่ามักรวมค่าส่วนกลางและการบำรุงรักษาแล้ว คุณไม่ต้องกังวลเรื่องค่าซ่อมหลังคารั่วหรือท่อแตก แถมไม่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่เหมือนเงินดาวน์บ้าน

สภาพคล่องทางการเงิน
การเช่าบ้านไม่ต้องใช้เงินก้อนสำหรับดาวน์ (ที่มักสูงถึง 10-20% ของราคาบ้าน) ทำให้คุณมีเงินเหลือไปลงทุนในอย่างอื่น เช่น หุ้น กองทุน หรือคริปโต ซึ่งอาจให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินกู้บ้านในบางช่วง

ข้อเสีย: เงินเฟ้อกระทบค่าเช่าด้วย

จ่ายแล้วจบ ไม่เหลือทรัพย์สิน
ค่าเช่าคือเงินที่ “จ่ายทิ้ง” คุณไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลยเมื่อสัญญาสิ้นสุดลง ต่างจากการซื้อบ้านที่อย่างน้อยได้ทรัพย์สินไว้

ค่าเช่าปรับขึ้นตามเงินเฟ้อ
ในยุคเงินเฟ้อ เจ้าของบ้านอาจขึ้นค่าเช่าเมื่อต่อสัญญา เช่น จาก 10,000 บาทต่อเดือน อาจกลายเป็น 12,000 บาทในปีหน้า ทำให้ค่าใช้จ่ายระยะยาวไม่แน่นอน

ความมั่นคงน้อยกว่า
คุณอาจถูกเจ้าของบ้านขอคืนพื้นที่ หรือต้องย้ายถ้าเจ้าของเปลี่ยนเงื่อนไขสัญญา แถมการตกแต่งบ้านเช่าก็มีข้อจำกัดเยอะ

ซื้อหรือเช่าดี? ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง

ในยุคที่เงินเฟ้อพุ่งและดอกเบี้ยสูงแบบนี้ ไม่มีคำตอบสำเร็จรูปว่า ซื้อ หรือ เช่า ดีกว่าสำหรับทุกคน มาดูปัจจัยที่คุณควรพิจารณาและกลยุทธ์ที่ช่วยให้เลือกทางที่ “คุ้ม” สำหรับคุณ

ถ้าคุณพร้อมทางการเงินและมองระยะยาว: ซื้อบ้านน่าสนใจกว่า

ถ้าคุณมีรายได้มั่นคง เงินเก็บเพียงพอสำหรับดาวน์ และผ่อนไหวแม้ดอกเบี้ยจะสูง การซื้อบ้านยังเป็นทางเลือกที่ ชนะเงินเฟ้อ ในระยะยาว เพราะมูลค่าบ้านมักเพิ่มขึ้นตามเวลา และเมื่อผ่อนหมด คุณจะมีทรัพย์สินก้อนโตไว้ในมือ

กลยุทธ์สำหรับคนซื้อบ้าน
• โปะเงินต้นให้เร็ว เพื่อลดภาระดอกเบี้ยรวม ถ้ามีเงินก้อน เช่น โบนัส หรือรายได้พิเศษ ลองนำมาโปะเงินต้น จะช่วยประหยัดดอกเบี้ยได้เยอะ
• เลือกสินเชื่อดอกเบี้ยคงที่ ในช่วง 3-5 ปีแรก เพื่อล็อกค่าใช้จ่ายให้แน่นอนในยุคที่ดอกเบี้ยผันผวน
• เลือกทำเลที่มีศักยภาพ เช่น ใกล้รถไฟฟ้า หรือย่านที่กำลังพัฒนา เพื่อให้มูลค่าบ้านเพิ่มขึ้นในอนาคต

ถ้าต้องการความยืดหยุ่นหรือยังไม่พร้อม: เช่าบ้านดีกว่า

ถ้าคุณยังไม่มั่นใจเรื่องรายได้ ต้องย้ายที่อยู่บ่อย หรือไม่อยากแบกหนี้ก้อนใหญ่ การเช่าบ้านช่วยให้คุณ ยืดหยุ่น และ รักษาสภาพคล่อง ได้ดีกว่าในระยะสั้นถึงกลาง

กลยุทธ์สำหรับคนเช่าบ้าน
• เจรจาค่าเช่าระยะยาว ลองคุยกับเจ้าของบ้านเพื่อล็อกค่าเช่าให้คงที่ 2-3 ปี เพื่อลดผลกระทบจากเงินเฟ้อ
• นำเงินไปลงทุน เงินที่เหลือจากการไม่ต้องดาวน์บ้าน (อาจเป็นแสนหรือล้าน) สามารถนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูง เช่น กองทุนรวม หรือตราสารหนี้ เพื่อให้เงินงอกเงย เตรียมพร้อมซื้อบ้านเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น
• เลือกทำเลที่สะดวก การเช่าบ้านช่วยให้คุณเลือกที่อยู่ใกล้ที่ทำงาน หรือในย่านที่คุณภาพชีวิตดี โดยไม่ต้องกังวลเรื่องมูลค่าทรัพย์สิน

ปัจจัยส่วนตัวที่ต้องคำนึงถึง

ความมั่นคงในอาชีพ
ถ้าคุณทำงานในสายที่รายได้ผันผวน (เช่น ฟรีแลนซ์ หรือธุรกิจส่วนตัว) การกู้ซื้อบ้านอาจเพิ่มความเสี่ยง เพราะต้องผ่อนต่อเนื่องนานหลายสิบปี

ระยะเวลาที่จะอยู่อาศัย
ถ้าคุณวางแผนอยู่ที่เดิมไม่เกิน 5 ปี การเช่ามักคุ้มกว่า เพราะค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้าน (เช่น ค่าโอน 2% ภาษี และค่านายหน้า) อาจสูงกว่าค่าเช่ารวมในช่วงสั้นๆ

เป้าหมายทางการเงิน
ถ้าคุณอยากมีทรัพย์สินและความมั่นคง การซื้อบ้านตอบโจทย์ แต่ถ้าคุณอยากมีเงินเหลือไปลงทุนหรือใช้ชีวิตแบบยืดหยุ่น การเช่าอาจเหมาะกว่า

ทำ Rent vs Buy Calculator ยังไง

เพื่อให้ตัดสินใจได้ชัดเจน ลองทำ Rent vs Buy Calculator ด้วยตัวเอง โดยคำนวณสิ่งเหล่านี้

ค่าใช้จ่ายเริ่มแรก
ซื้อบ้าน: เงินดาวน์ ค่าโอน ภาษี ค่าตกแต่ง
เช่าบ้าน: ค่าประกัน (มักเป็น 2-3 เดือนของค่าเช่า) และค่าเช่าล่วงหน้า

ค่าใช้จ่ายรายเดือน
ซื้อบ้าน: ค่างวด (เงินต้น+ดอกเบี้ย) + ค่าส่วนกลาง + ค่าซ่อมบำรุง
เช่าบ้าน: ค่าเช่า + ค่าสาธารณูปโภค

ผลตอบแทนในอนาคต
ซื้อบ้าน: มูลค่าบ้านที่เพิ่มขึ้น (ลบด้วยดอกเบี้ยรวมและค่าใช้จ่ายแฝง)
เช่าบ้าน: ผลตอบแทนจากการนำเงินดาวน์ไปลงทุน (เช่น ดอกเบี้ยทบต้นจากกองทุน)

ความเสี่ยงและความยืดหยุ่น
ชั่งน้ำหนักว่าคุณรับความเสี่ยงจากหนี้ก้อนใหญ่ได้แค่ไหน และความยืดหยุ่นในการย้ายที่อยู่นั้นสำคัญกับคุณมากน้อยแค่ไหน

ตัวอย่างง่ายๆ:
สมมติบ้านราคา 3 ล้านบาท ดาวน์ 10% (300,000 บาท) กู้ 2.7 ล้าน ดอกเบี้ย 4.5% ผ่อน 30 ปี ค่างวดเดือนละ ~16,000 บาท ดอกเบี้ยรวม ~3 ล้านบาท

ถ้าเช่าบ้านราคา 12,000 บาทต่อเดือน คุณจะมีเงิน 300,000 บาทไปลงทุน ถ้าลงทุนได้ผลตอบแทน 6% ต่อปี เงินจะงอกเป็น 1.7 ล้านใน 20 ปี

คำนวณแล้วลองดูว่าผลตอบแทนสุทธิและความสบายใจอันไหนเหมาะกับคุณมากกว่า

ทำไมต้องคิดเยอะในยุคนี้

ในช่วงที่เงินเฟ้อสูงและดอกเบี้ยแพง การตัดสินใจเรื่องบ้านมี ความเสี่ยงสูงกว่าในอดีต เพราะ

ต้นทุนโอกาส (Opportunity Cost)
เงินที่คุณใช้ดาวน์บ้านหรือผ่อนบ้านอาจนำไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น หุ้นหรือกองทุน ในบางช่วงผลตอบแทนจากลงทุนอาจแซงหน้าการเพิ่มมูลค่าของบ้าน

ความผันผวนของตลาด
อสังหาฯ ในบางทำเลอาจไม่เพิ่มมูลค่าตามที่คาด ถ้าซื้อในทำเลที่ไม่เติบโต คุณอาจขาดทุนเมื่อขาย

นโยบายรัฐ
มาตรการควบคุมเงินเฟ้อ เช่น การขึ้นดอกเบี้ย หรือนโยบายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อาจกระทบทั้งคนซื้อและคนเช่าในอนาคต

สรุป เลือกอะไรดี

ถ้าคุณพร้อมและมองระยะยาว การซื้อบ้านยังเป็นทางเลือกที่ ชนะเงินเฟ้อ และสร้างความมั่งคั่งได้ดี แม้จะต้องฝ่าด่านดอกเบี้ยสูงในช่วงแรก

ถ้าคุณต้องการความยืดหยุ่นหรือยังไม่พร้อม การเช่าบ้านช่วยให้คุณมีสภาพคล่องและอิสระมากกว่า เหมาะกับคนที่อยากเก็บเงินไปลงทุนหรือรอจังหวะที่ตลาดดีขึ้น

สุดท้าย การตัดสินใจขึ้นอยู่กับ เป้าหมายชีวิต และ สถานการณ์การเงิน ของคุณ ลองชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย ทำการบ้านด้วยการคำนวณค่าใช้จ่าย และปรึกษาคนรอบตัวที่เคยผ่านประสบการณ์มาแล้ว เพื่อให้มั่นใจว่าทางเลือกที่คุณเลือกจะพาคุณไปถึงเป้าหมายได้อย่างสบายใจ


นิยาย บ้านในฝันหรือพันธนาการแห่งหนี้

29595959
… บ้านในฝันหรือพันธนาการแห่งหนี้

ในเมืองที่ตื่นตัวด้วยแสงไฟและความฝัน กรุงเทพฯ ในปี 2568 กลายเป็นสนามรบของผู้คนที่วิ่งไล่ตามความมั่นคงท่ามกลางพายุเงินเฟ้อที่พัดกระหน่ำ ค่าครองชีพพุ่งสูง อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านขยับขึ้นไม่หยุด และราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เหมือนจะลอยไปถึงดวงจันทร์ ณ ที่แห่งนี้ มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ พิมพ์มาดา หรือที่เพื่อนๆ เรียกสั้นๆ ว่า พิม สาววัย 32 ปี ที่ทำงานเป็นนักวางแผนการเงินในบริษัทใหญ่ใจกลางเมือง เธอมีชีวิตที่ดูเหมือนจะลงตัว รายได้ดี อพาร์ตเมนต์ขนาดกะทัดรัดที่เช่าอยู่ในย่านสีลม และความฝันที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเองสักหลัง แต่ในยุคที่ทุกอย่างดูไม่แน่นอน ความฝันนั้นเริ่มกลายเป็นคำถามที่หนักอึ้งในใจเธอ ซื้อบ้านดี หรือเช่าต่อไปดี?

ทุกเย็นหลังเลิกงาน พิมจะนั่งจิบกาแฟที่ร้านโปรดใกล้ที่ทำงาน มองออกไปนอกหน้าต่างที่ผู้คนเดินขวักไขว่ เธอหยิบโน้ตบุ๊กออกมา คำนวณตัวเลขในสเปรดชีตที่เธอตั้งชื่อว่า “อนาคตของฉัน” ตัวเลขเหล่านั้นบอกเธอว่า ถ้าเธอกู้ซื้อคอนโดราคา 4 ล้านบาท ด้วยเงินดาวน์ที่มีอยู่ 5 แสนบาท เธอต้องผ่อนเดือนละเกือบ 20,000 บาท เป็นเวลา 30 ปี ดอกเบี้ยรวมอาจสูงถึง 3 ล้านบาท ในขณะที่ค่าเช่าคอนโดที่เธออยู่ตอนนี้เพียง 12,000 บาทต่อเดือน และเงิน 5 แสนบาทนั้น ถ้านำไปลงทุนในกองทุนรวมที่ให้ผลตอบแทน 6% ต่อปี อาจงอกเงยเป็นเกือบ 2 ล้านใน 20 ปี เธอถอนหายใจ คำนวณไปคำนวณมา ตัวเลขก็ยังไม่ให้คำตอบที่ชัดเจน

วันหนึ่ง พิมได้เจอกับ ธนา เพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยที่ผันตัวเองมาเป็นนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ธนานั่งลงตรงข้ามเธอที่ร้านกาแฟ ยิ้มกว้างเหมือนคนที่เพิ่งชนะลอตเตอรี่ “พิม อย่ามัวแต่เช่าบ้านเลย ซื้อสิ! อสังหาฯ น่ะชนะเงินเฟ้อได้แน่นอน ซื้อวันนี้ 10 ปีข้างหน้าบ้านนายจะราคาพุ่งเป็น 7-8 ล้าน!” ธนาพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ พร้อมเล่าถึงคอนโดที่เขาซื้อเมื่อ 5 ปีก่อน ซึ่งตอนนี้ราคาเพิ่มขึ้นเกือบ 50% พิมฟังแล้วใจเต้นแรง เธอจินตนาการถึงบ้านของตัวเอง ห้องนั่งเล่นที่เต็มไปด้วยแสงแดด ระเบียงเล็กๆ ที่เธอจะวางกระถางต้นไม้ และความรู้สึกของการเป็น “เจ้าของ” ที่แท้จริง

แต่คืนนั้น พิมนอนไม่หลับ เธอนึกถึงคำพูดของ แก้ว เพื่อนสนิทที่เลือกเช่าบ้านมาตลอดชีวิต “พิม การซื้อบ้านคือการเอาตัวเองไปผูกกับหนี้ยาวๆ นะ ถ้าเศรษฐกิจแย่ลง หรือเธอต้องย้ายงานล่ะ จะทำยังไง? ฉันเช่าบ้านมา 10 ปี เงินที่เหลือจากการไม่ต้องดาวน์ ฉันเอาไปลงทุนในหุ้น ตอนนี้พอร์ตฉันโตเกือบ 3 ล้านแล้ว!” คำพูดของแก้วทำให้พิมเริ่มลังเล เธอเริ่มกลัวภาพตัวเองที่ต้องทำงานหนักเพื่อผ่อนบ้าน กลัวว่าถ้าเกิดอะไรไม่คาดฝัน เธออาจสูญเสียทุกอย่าง

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน พิมตัดสินใจไปดูคอนโดโครงการใหม่ในย่านพระราม 9 ตัวแทนขายยิ้มหวาน บอกว่า “ซื้อตอนนี้ดีที่สุดค่ะ ราคาจะขึ้นอีกแน่นอน!” คอนโดห้องนั้นสวยงามเกินกว่าที่พิมจะต้านทานได้ พื้นไม้เงาวับ วิวเมืองที่มองเห็นตึกระยิบระยับ และสระว่ายน้ำส่วนกลางที่ดูเหมือนรีสอร์ต เธอจินตนาการถึงชีวิตในฝัน จนเกือบเซ็นสัญญา แต่ในวินาทีสุดท้าย เธอขอเวลาคิดเพิ่มอีกนิด เธอกลับบ้านไปนั่งคำนวณอีกครั้ง และคราวนี้ เธอตัดสินใจทำ “Rent vs Buy Calculator” อย่างจริงจัง เธอใส่ทุกตัวเลขลงไป ค่าดาวน์ ดอกเบี้ย ค่าส่วนกลาง ค่าซ่อมบำรุง และเปรียบเทียบกับค่าเช่าที่ปรับขึ้นตามเงินเฟ้อ ผลลัพธ์บอกว่า ถ้าเธอซื้อคอนโด เธอต้องทำงานหนักอีก 20 ปีเพื่อผ่อนให้หมด แต่ถ้าเช่าต่อและลงทุนเงินดาวน์ เธออาจมีอิสรภาพทางการเงินเร็วกว่านั้น

สุดท้าย พิมตัดสินใจซื้อคอนโด เธอเลือกห้องมุมที่มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยความหวังว่ามันจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เธอเซ็นสัญญากู้เงิน 3.5 ล้านบาท ด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง วันแรกที่ย้ายเข้าไป เธอนั่งมองพระอาทิตย์ตกจากระเบียง ความรู้สึกของการเป็นเจ้าของทำให้ใจเธอพองโต เธอบอกตัวเองว่า “นี่คือการตัดสินใจที่ถูกต้อง”

สองปีต่อมา เศรษฐกิจเริ่มสั่นคลอน อัตราดอกเบี้ยพุ่งสูงถึง 6% ค่างวดของพิมเพิ่มขึ้นจาก 20,000 เป็น 25,000 บาทต่อเดือน รายได้ของเธอยังเท่าเดิม แต่ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน เธอต้องตัดค่าใช้จ่ายที่เคยเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ อย่างการกินข้าวนอกบ้านหรือทริปท่องเที่ยว เพื่อให้มีเงินพอผ่อนคอนโด เธอเริ่มรู้สึกเหมือนถูกพันธนาการด้วยหนี้ที่หนักอึ้ง ธนา เพื่อนที่เคยเชียร์ให้ซื้อบ้าน หายหน้าไปเมื่อเธอขอคำปรึกษา ส่วนแก้ว ยังคงใช้ชีวิตอย่างอิสระ เงินลงทุนของเธองอกเงย และเพิ่งย้ายไปเช่าคอนโดใหม่ในทำเลที่ดีกว่าเดิม

คืนหนึ่ง พิมนั่งมองวิวจากระเบียงคอนโดที่เคยทำให้เธอมีความสุข เธอรู้สึกเหมือนบ้านที่เธอฝันถึงกลายเป็นกรงที่ขังเธอไว้ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดอีเมลจากตัวแทนอสังหาฯ ที่ส่งมาเมื่อเช้า ข้อความนั้นเขียนว่า “ยินดีด้วยค่ะ คุณพิม! คอนโดของคุณมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านบาทแล้ว!” พิมยิ้มจางๆ แต่ในใจกลับรู้สึกหน่วง เธอตระหนักว่ามูลค่าที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นเพียงตัวเลขบนกระดาษ เพราะถ้าเธอขายคอนโดตอนนี้ เธอต้องจ่ายหนี้ที่เหลือและดอกเบี้ยที่สะสมมา เธอจะแทบไม่เหลืออะไรเลย

ท่ามกลางความเงียบงันของคอนโดที่เคยเป็นฝัน พิมค้นพบจดหมายเก่าในลิ้นชัก เป็นจดหมายที่เธอเขียนถึงตัวเองเมื่อ 5 ปีก่อน ฝันถึงชีวิตที่อิสระและมีความสุข เธอเขียนว่า “อย่าปล่อยให้ความฝันกลายเป็นโซ่ตรวน” พิมน้ำตาคลอ เธอตัดสินใจในวันนั้นว่า เธอจะขายคอนโด แม้จะต้องขาดทุนเล็กน้อย เธอจะกลับไปเช่าบ้าน และใช้เงินที่ได้คืนมาเริ่มต้นใหม่ ลงทุนในสิ่งที่ให้ทั้งผลตอบแทนและอิสรภาพ เธอตระหนักว่า บ้านในฝันที่แท้จริงไม่ใช่แค่ผนังและหลังคา แต่คือที่ที่เธอรู้สึกเป็นตัวเอง และเป็นอิสระจากพันธนาการของหนี้

พิมยิ้มให้ตัวเองในกระจกครั้งแรกในรอบหลายเดือน เธอรู้แล้วว่า ความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ใช่การเป็นเจ้าของบ้าน แต่คือการเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง

นิยายเรื่องนี้ถ่ายทอดเรื่องราวของพิมพ์มาดา หญิงสาวที่ต้องเผชิญกับการตัดสินใจครั้งใหญ่ในยุคที่เงินเฟ้อและดอกเบี้ยสูงสร้างความท้าทาย เธอถูกดึงดูดด้วยความฝันของการเป็นเจ้าของบ้าน แต่สุดท้ายพบว่ามันกลายเป็นภาระที่หนักเกินรับไหว ตอนจบเน้นย้ำว่า ความมั่งคั่งและความสุขไม่ได้วัดจากทรัพย์สินที่ครอบครอง แต่เป็นอิสรภาพและความสงบในใจ เรื่องราวนี้สะท้อนความเป็นจริงของคนยุคใหม่ที่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความมั่นคงและความยืดหยุ่นในสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน