“รองพื้นตัวใหม่ที่เหมือนฟิลเตอร์ในชีวิตจริง” อันนี้มันแบบ ฟังแล้วนึกถึงพวกแอพถ่ายรูปที่ใส่ฟิลเตอร์แล้วผิวสวยกริบ เนียนใส ไม่มีรูขุมขน อะไรแบบนั้นเลยใช่มั้ย แต่ในชีวิตจริง เราก็อยากมีผิวแบบนั้นโดยไม่ต้องพึ่งแอพสิ หัวข้อนี้จริงๆ แล้วมันพูดถึงพวกผลิตภัณฑ์รองพื้น (foundation) รุ่นใหม่ๆ ที่ถูกออกแบบมาให้ผิวหน้าดูสวยเป๊ะ เหมือนเปิดโหมด beauty filter ในกล้อง แต่เป็นของจริง ไม่ fake นะจ๊ะ มันช่วยเบลอจุดบกพร่อง ปกปิดรอยต่างๆ แต่ยังดูเป็นธรรมชาติ ไม่หนาโบ๊ะเหมือนลงปูนฉาบหน้า
มันฮิตมากในวงการบิวตี้ช่วงนี้ โดยเฉพาะในไทย เพราะอากาศร้อนชื้น หน้าต้องทนเหงื่อ ทนฝุ่น แต่ยังอยากสวยแบบ effortless อะไรประมาณนั้น มันคล้ายกับเทรนด์ “no makeup makeup” หรือ “glass skin” ที่มาจากเกาหลี ที่เน้นผิวสวยใสเหมือนแก้ว แต่ใช้รองพื้นช่วยนิดนึงให้ดูเพอร์เฟกต์ยิ่งขึ้น
ตัวอย่างหลักที่คนพูดถึงเยอะสุดเลยคือ “Smooto No More Filter Semi-Matte Foundation” จากแบรนด์ Smooto (สมูทโตะ)
ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ราคาจับต้องได้ แบบไม่แพงแต่คุณภาพดีงาม มันถูกเรียกว่า “รองพื้นตัวใหม่ที่เหมือนฟิลเตอร์ในชีวิตจริง” เพราะชื่อรุ่นมันแปลว่า “ไม่ต้องใช้ฟิลเตอร์อีกต่อไป” เลยอะ สื่อถึงว่าลงแล้วผิวสวยจริง ไม่ต้องแต่งรูปเพิ่ม เรามาแกะกล่องดูกันทีละส่วนเลยนะ ว่าจะละเอียดขนาดไหน
ก่อนอื่น มาพูดถึงรูปร่างหน้าตาและแพ็กเกจจิ้งก่อน รองพื้นตัวนี้มาในรูปแบบซองหรือหลอดเล็กๆ ใช้งานง่าย พกพาสะดวก ราคาเริ่มต้นแค่ประมาณ 49 บาทสำหรับซองทดลอง หรือถ้าซื้อเต็มขนาดก็ราวๆ 280-590 บาท (ขึ้นกับโปรโมชั่น)
มี 3 เฉดสีหลักที่ออกแบบมาเพื่อผิวคนไทยโดยเฉพาะ
#01 Light Ivory สำหรับผิวขาวโทนเย็น (cool undertone)
#02 Natural Beige สำหรับผิวขาวเหลืองถึงปานกลาง (neutral undertone)
และ #03 Sand Beige สำหรับผิวสองสีหรือน้ำผึ้ง (warm undertone)
การมีเฉดสีน้อยแต่ครอบคลุมแบบนี้ดีนะ เพราะไม่ทำให้งงเวลาเลือก และมันออกซิไดซ์ (เปลี่ยนสีตามผิว) ได้ดี ไม่ดรอปลงเหลืองหรือเทาแบบบางแบรนด์
ทีนี้มาที่เนื้อสัมผัสและคุณสมบัติหลัก มันเป็นรองพื้นแบบ semi-matte หรือกึ่งแมตต์
หมายถึงไม่แห้งสนิทแบบแมตต์เต็มๆ แต่ก็ไม่ฉ่ำวาวแบบ dewy มันให้ฟินิชที่ดูเป็นผิวจริงๆ แต่เนียนกริบ เหมือนเปิด soft blur filter ใน Photoshop เลย
เนื้อบางเบามาก เกลี่ยง่าย ไม่หนักหน้า ไม่เหนียวเหนอะ ไม่ตกร่อง ไม่เป็นคราบแม้เหงื่อออกหรือใส่แมสก์ทั้งวัน ติดทนนานถึง 18 ชั่วโมง คุมมันดีเยี่ยม กันน้ำกันเหงื่อได้ระดับหนึ่ง เหมาะกับอากาศเมืองไทยที่ร้อนอบอ้าวแบบนี้สุดๆ อีกอย่างที่เด็ดคือมี SPF50 PA+++ ในตัว แปลว่าปกป้องผิวจากแสงแดด UVA/UVB ได้สูง ไม่ต้องลงกันแดดแยกถ้าอยู่ในร่ม แต่ถ้าออกแดดจ้าๆ ก็ลงเพิ่มดีกว่านะ
ส่วนผสมก็ไม่ธรรมดาเลย มันไม่ใช่แค่รองพื้นปกปิด แต่ยังมีส่วนบำรุงผิวผสมอยู่ เหมือนลงสกินแคร์ไปในตัว หลักๆ คือ
• 16X Hyaluron (ไฮยาลูรอน 16 โมเลกุล) ที่ช่วยเติมน้ำให้ผิว ชุ่มชื้น ลดริ้วรอยเล็กๆ ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ไม่แห้งตึงหลังลง
• Niacinamide (วิตามิน B3) ที่ช่วยลดจุดด่างดำ ปรับผิวให้สม่ำเสมอ กระจ่างใส กระชับรูขุมขน และควบคุมความมันไม่ให้หน้ามันเยิ้ม
• Zinc ที่ช่วยยับยั้งแบคทีเรีย ลดการอักเสบ ลดสิว และควบคุมน้ำมันส่วนเกิน
• และมีเทคโนโลยี LumiFlex Soft Blur ซึ่งเป็นนวัตกรรมกระจายแสงอัจฉริยะ ช่วยเบลอรูขุมขน จุดด่างดำ รอยสิว ให้ผิวดูเรียบเนียนแบบ soft-focus เหมือนกล้องถ่ายรูปที่ปรับแสงให้ผิวสวยอัตโนมัติ
เพราะส่วนผสมพวกนี้แหละ มันเลยไม่ใช่แค่ปกปิด แต่ยังช่วยฟื้นบำรุงผิวในระยะยาว ถ้าใช้ต่อเนื่อง ผิวอาจจะดีขึ้นจริงๆ นะ ไม่ใช่แค่หลอกตาแบบฟิลเตอร์ชั่วคราว
วิธีใช้งานก็ง่ายมาก ไม่ซับซ้อน เหมาะกับมือใหม่หรือคนรีบๆ ในตอนเช้า
ก่อนอื่น ทำความสะอาดหน้า ล้างหน้าให้สะอาด แล้วลงสกินแคร์ปกติ (เซรั่ม มอยส์เจอไรเซอร์) รอให้ซึม แล้วเขย่าขวดรองพื้นก่อน บีบออกมาปริมาณเท่าเม็ดถั่ว (ไม่ต้องเยอะเพราะเนื้อเกลี่ยง่าย) แล้วใช้ฟองน้ำ นิ้ว หรือแปรงเกลี่ยให้ทั่วหน้า เน้นจุดที่ต้องการปกปิดอย่างใต้ตาคล้ำ รอยสิว จุดด่างดำ มันปกปิดได้ระดับ medium to full แต่ยังดูเป็นผิว ไม่หนา ถ้าอยากเซ็ตให้ติดทนยิ่งขึ้น ลงแป้งฝุ่นบางๆ ทับได้ แต่ไม่จำเป็นเพราะมันเซ็ตตัวเองได้ดี ถ้าผิวแห้งมาก ผสมกับมอยส์เจอไรเซอร์นิดนึงก็ช่วยได้ หรือถ้าผิวมัน ลง primer คุมมันก่อนก็ปังเลย สามารถใช้เดี่ยวๆ สำหรับ everyday look หรือ layer กับคอนซีลเลอร์ถ้าต้องการปกปิดหนักๆ
จากรีวิวจริงๆ ที่คนใช้แล้วแชร์กันเพียบ (แบบจาก TikTok, Lemon8, LINE TODAY อะไรพวกนี้) ส่วนใหญ่ให้คะแนนสูงมากเลยนะ
เช่น ผู้ใช้หลายคนบอกว่ามันช่วยให้ผิวเนียนกริบ ไม่ดรอประหว่างวัน แม้เหงื่อออกก็ยังสวย สาวผิวมันชอบเพราะคุมมันดี ไม่เยิ้ม สาวผิวแห้งก็รอดเพราะไม่แห้งแตก มีคนรีวิวว่าปกปิดรอยสิวได้ดี แต่ไม่ทำให้สิวขึ้นเพิ่ม เพราะส่วนผสมอ่อนโยน ไม่มีพาราเบนหรือแอลกอฮอล์ที่ระคายเคือง บางคนบอกว่าเซลฟี่แล้วสวยแบบไม่ต้องแต่งรูปเลย ราคาถูกแต่คุณภาพเทียบเท่าแบรนด์แพงๆ มีรีวิวจากสาวๆ ที่ผิวแพ้ง่ายว่าดี ไม่แพ้ ไม่คัน แต่ก็มีน้อย ที่บอกว่าถ้าผิวเข้มมาก อาจต้องเลือกเฉดดีๆ เพราะมีแค่ 3 สี โดยรวม แล้ว มันฮิตมากในกลุ่มวัยรุ่นถึงวัยทำงานที่อยากสวยแบบ budget-friendly
ทีนี้ เรามาเพิ่มความรู้กันหน่อยดีกว่า เพราะเกี่ยวข้องกับเทรนด์บิวตี้สมัยใหม่เลย
รู้มั้ยว่าคำว่า “ฟิลเตอร์ในชีวิตจริง” มันมาจากยุคโซเชียลมีเดียที่ทุกคนใช้แอพอย่าง Instagram หรือ TikTok ใส่ beauty filter เพื่อทำให้ผิวดูสมูธ ไร้ที่ติ แต่เดี๋ยวนี้แบรนด์เครื่องสำอางเขาพัฒนารองพื้นให้เลียนแบบเอฟเฟกต์นั้น เช่น ใช้เทคโนโลยี optical blurring ที่กระจายแสงเพื่อเบลอจุดบกพร่อง เหมือน filter ในแอพจริงๆ ตัวอย่างอื่นๆ ที่คล้ายกันก็มี Charlotte Tilbury Airbrush Flawless Foundation ที่ให้ลุค airbrushed เหมือนสเปรย์พ่นสีผิวให้เนียน หรือ IPSA Cream Foundation e ที่ฟีลเหมือนลงสกินแคร์มากกว่ารองพื้น เพราะมีส่วนผสมบำรุงถึง 75% และฟินิชแมตต์แต่ฉ่ำเมื่อเหงื่อออก
เทรนด์นี้มันเริ่มจาก K-beauty แล้วแพร่มาฝั่งตะวันตกและไทย ทำให้รองพื้นสมัยใหม่ไม่ใช่แค่ปกปิด แต่ต้องบำรุงผิวด้วย เรียกว่า hybrid makeup-skincare
ถ้าจะเลือกซื้อรองพื้นแบบนี้ ต้องดู undertone ผิวตัวเองก่อนนะ (cool คือชมพู, warm คือเหลือง, neutral คือกลางๆ)
โดยดูจากเส้นเลือดข้อมือ ถ้าเขียวคือ warm, ม่วงคือ cool, ผสมคือ neutral แล้วก็เทสต์ที่คอหรือกราม ไม่ใช่มือ เพราะสีผิวตรงนั้นจริงกว่า อีกอย่าง อย่าลืมดูแลผิวก่อนลงรองพื้นเสมอ เช่น เอ็กซ์โฟลิเอต (ขัดผิว) สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อให้รองพื้นเกาะผิวดี ไม่ตกร่อง และดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อผิวชุ่มชื้นจากภายใน ถ้าผิวมีปัญหาเยอะ ปรึกษา dermatologist ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นะ เพื่อไม่ให้แพ้
สรุปนะ มันสะท้อนว่าบิวตี้สมัยนี้เน้น “real beauty” ที่ enhanced นิดนึง ถ้าสนใจลอง Smooto ตัวนี้ดู ถูกและดีจริงๆ แต่ถ้าอยากหรูขึ้นก็ลองแบรนด์อื่นดูได้ สวยแบบฟิลเตอร์ในชีวิตจริง มันไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ แต่เป็น mindset ที่เราสามารถมีผิวสวยได้ทุกวันโดยไม่ต้อง fake อะไรเยอะ
