ถ้าโรงเรียนนี้เป็นของคุณคนเดียว

ถ้าโรงเรียนนี้เป็นของคุณคนเดียว

โรงเรียนสมัยใหม่นั้นควรให้น้ำหนักที่ตัวนักเรียน โดยให้อิสระนักเรียนเลือกวิชาเรียน แนวการเรียน จัดตารางเรียนเองตามใจชอบ

อยากมีโรงเรียนเป็นของตัวเอง  StartDee แอปพลิเคชันที่ออกแบบการเรียนรู้ได้ตามสไตล์คุณ
ใครๆ ก็เป็นแบบธิติกานต์ได้ เรียนได้ตามใจสั่ง โหลดเลย

โฆษณา “ถ้าโรงเรียนนี้เป็นของคุณคนเดียว…” โดย Salmon House เป็นหนึ่งในผลงานที่สะท้อนสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของโปรดักชั่นเฮ้าส์นี้ ซึ่งมักนำเสนอเนื้อหาที่ทั้งสนุก กวน และชวนให้ผู้ชมรู้สึก “relate” ไปกับสถานการณ์ที่ถูกหยิบยกมาเล่า โฆษณาชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อโปรโมตแอปพลิเคชัน StartDee

โดยใช้แนวคิดที่จินตนาการถึงสถานการณ์สุดโต่ง ลองนึกภาพว่าถ้าคุณได้ครอบครองโรงเรียนทั้งโรงเรียนเป็นของตัวเอง จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?

จากสไตล์ของ Salmon House ที่มักผสมความตลกแบบเสียดสีและมุมมองที่ไม่เหมือนใคร โฆษณานี้จะเริ่มต้นด้วยการพาผู้ชมเข้าไปในฉากที่ดูคุ้นเคยอย่าง “โรงเรียน” แต่กลับบิดให้กลายเป็นเรื่องราวที่เกินคาด เช่น คุณอาจได้เห็นตัวละครหลักที่เป็นเด็กนักเรียน เดินอยู่ในโรงเรียนที่มีครู ไม่มีเพื่อน แต่มีกฎระเบียบที่ผู้เรียนสร้างเอง

แล้วใช้โอกาสนี้ทำอะไรแปลกๆ ที่คนทั่วไปเคยแอบฝันถึงสมัยเรียน เช่น เปลี่ยนห้องเรียนตามใจชอบ กินข้าวในห้องเรียน หรือยกเลิกวิชาที่ตัวเองไม่ชอบไปเลย เนื้อหาน่าจะเต็มไปด้วยมุกตลกที่แฝงความจริงของชีวิตวัยเรียน เช่น ความเบื่อกับการบ้าน หรือความฝันที่อยากมีอิสระเต็มที่

จุดเด่นของโฆษณานี้คือการเล่าเรื่องที่ทำให้คนดูยิ้มได้ พร้อมกับแอบแทรกข้อความบางอย่างที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่ Salmon House ต้องการสื่อ อาจเป็นการชวนให้คิดถึงอิสระในการเรียนรู้ หรือการโปรโมตสินค้าที่ช่วยให้ชีวิตวัยเรียนสนุกขึ้น (เช่น แอปการศึกษา อุปกรณ์ หรืออะไรที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์เด็กนักเรียน)

ท้ายสุด โฆษณาน่าจะจบแบบมี twist เล็กๆ ที่ทั้งขำและน่าจดจำ ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของ Salmon House ที่มักทิ้งอะไรให้คนดูพูดถึงกันต่อ

ด้วยความที่ Salmon House เน้นคอนเซปต์ “Intellectual Badass” โฆษณานี้คงไม่ใช่แค่ตลกธรรมดา แต่ยังมีชั้นเชิงที่ทำให้คนดูรู้สึกว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ แต่มันสะท้อนอะไรบางอย่างในชีวิตจริงด้วย ถ้าคุณเคยดูผลงานอื่นๆ ของพวกเขา เช่น “ลุงเนลสัน” หรือ “วิดีโอสาธิตความปลอดภัยบนรถเมล์ สาย 8” คุณจะสัมผัสได้ถึง DNA เดียวกันที่ทั้งกวน ทั้งฉลาด และเข้าถึงอารมณ์คนดูได้อย่างลงตัว

สัมผัสประสบการเรียนรู้นอกห้องเรียนกับ StartDee
StartDee คือแอปพลิเคชันด้านการศึกษา ที่มีเป้าหมายในการใช้เทคโนโลยีมาขยายโอกาสให้เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้ มีเนื้อหาการเรียนการสอนทุกรูปแบบ ถูกดัดแปลงให้สอดคล้องกับหลักสูตร และความต้องการที่แตกต่างกันของเด็กแต่ละคน และช่วยผู้ปกครองลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของบุตรหลานอีกด้วย

แอปพลิเคชัน StartDee เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้แบบออนไลน์ที่พัฒนาโดย บริษัท เอ็ดดูเคชั่น เทคโนโลยี จำกัด ซึ่งมีเป้าหมายหลักเพื่อให้เด็กไทยทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียม โดยเน้น 3 แกนสำคัญคือ คุณภาพดี (Quality), ราคาไม่แพง (Affordable), และเข้าถึงง่าย (Accessible)

แอปนี้ถูกออกแบบมาให้เหมือน “Netflix ของการศึกษา” ที่รวบรวมเนื้อหาการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับชั้น ป.4 ถึง ม.6 ครอบคลุมวิชาหลัก เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และสังคมศึกษา รวมถึงเนื้อหานอกห้องเรียน เช่น ทักษะชีวิต การเงิน สุขภาพจิต หรือการเมือง เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้อย่างรอบด้านและสนุกไปกับมัน

จุดเด่นของ StartDee คือการใช้เทคโนโลยีช่วยปรับการเรียนให้เหมาะกับแต่ละคน (Personalized Learning) โดยมี AI ที่วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนของนักเรียน เพื่อแนะนำเนื้อหาที่ตรงกับระดับความเข้าใจและความต้องการของแต่ละคน นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่ทำให้การเรียนน่าสนใจ เช่น วิดีโอการสอนจากครูเก่งๆ ทั่วประเทศ แบบฝึกหัด คลังข้อสอบกว่า 50,000 ข้อ โน้ตสรุปท้ายบท และระบบรางวัล (Gamification) ที่ให้คะแนนหรือไอเท็มเมื่อเด็กทำภารกิจสำเร็จ ทำให้การเรียนไม่น่าเบื่อเหมือนการท่องจำแบบเดิมๆ

แอปนี้ยังมีโหมดการเรียนที่หลากหลาย เช่น คลาสเรียนประจำวัน (Daily Class), คลาสสด (Live Class) ที่สามารถโต้ตอบกับครูได้ และสามารถย้อนดูเนื้อหาได้ตลอดเวลา ผู้ใช้สามารถสมัครแพ็กเกจแบบรายเดือนหรือรายปี เริ่มต้นที่ประมาณ 549 บาทต่อเดือน หรือ 3,500 บาทต่อปี ซึ่งถือว่าราคาค่อนข้างเข้าถึงได้เมื่อเทียบกับการเรียนพิเศษแบบดั้งเดิม และยังมีช่วงทดลองใช้ฟรี 7 วันสำหรับผู้ใช้ใหม่

StartDee เริ่มเปิดตัวในปี 2020 และเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่การเรียนออนไลน์ได้รับความนิยม จนมียอดดาวน์โหลดมากกว่า 1.3 ล้านครั้ง และกลายเป็นแอปเสริมการเรียนอันดับ 1 ของไทย นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับหน่วยงานอย่างกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อสนับสนุนเด็กที่ขาดโอกาสให้เรียนฟรี รวมถึงพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น หลักสูตรภาษาอังกฤษจาก Cambridge หรือคอร์สติวสอบกับติวเตอร์ชั้นนำ เพื่อมุ่งสู่การเป็น “Super App” ด้านการศึกษาที่ครบวงจร


Recommended Articles